วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

คิดถึงบ้าน

ฟังเพลงได้ที่ http://www.dseason.com/coolsong/coolsong_play.php?id=971
มองดูดวงดาวก็คงเป็นดาวดวงเดียวกัน มองดูดวงจันทร์ก็เหมือนกับจันทร์ที่บ้านเรา

ยามนี้ฉันเหงา คิดถึงบ้าน

มองดูท้องฟ้าก็ยังเป็นฟ้าพื้นเดียวกัน

มองดูดวงตะวันก็ยังส่องแสงไปบ้านฉัน

ยามฟ้ามืดครึ้ม คิดถึงบ้าน


อยู่ในเมืองกรุงก็คงวุ่นวายและวกวน

มีแต่ผู้คนก็เหมือนกับคนไม่รู้จักกัน

ชีวิตผกผัน คิดถึงบ้าน

มองไปทางใดก็มีแต่ตึกสูงสวยงาม

แต่ใจคนไม่งามเหมือนกับคนที่บ้านเรา

ยามนี้ฉันเหงา คิดถึงบ้าน


อยู่ในเมืองกรุงก็คงวุ่นวายและวกวน

มีแต่ผู้คนก็เหมือนกับคนไม่รู้จักกัน

ชีวิตผกผัน คิดถึงบ้าน

มองไปทางใดก็มีแต่ตึกสูงสวยงาม

แต่ใจคนไม่งามเหมือนกับคนที่บ้านเรา

ยามนี้ฉันเหงา คิดถึงบ้าน


วิเคราะห์
ชื่อของกลอนนี้ คิดถึงบ้าน’ เป็นเนื้อหาโดยรวมของกลอน ชื้อของกลอนนั้นเรียบง่าย ส่วนเนื้อหาของกลอนนี้ถูกสร้างโดยการแบ่งเป็น สามบท บทแรกเริ่มต้นด้วยการอธิบายและพรรณนาถึงท้องฟ้าว่ามีอะไรอยู่บ้าง บทที่สองและสาม พรรณนาและบรรยายเกี่ยวกับความเหงาของการที่ต้องอยู่ในกรุง ซึ่งกวีเน้น‘คิดถึงบ้าน’ เพื่อที่จะที่ให้เข้าใจความหมายได้ง่ายลาบรื่นขึ้น ซึ่งช่วยทำกลอนนี้น่าสนใจและน่าติดตาม ในความคิดของผม ผมคิดว่ากลอนนี้นั้นเป็นกลอนที่สามารถเชื่อมโยงกับคนหลายๆคนที่จากบ้านมาไกล และจึงคิดถึงบ้าน
Mood/Tone ของกลอนนี้ให้อารมณ์ที่ โศกเศร้า และ โดดเดี่ยวเดียวดาย เป็นความรู้สึกคิดถึงบ้านชึงmood/tone นั้นถูกเสริมสร้างด้วนจังหวะทำนองที่เศร้า โดยกวีนั้นเน้นคำว่า ‘มอง’ เวลาอ่านกลอนแล้วออกเสียงออกมาจะเห็นได้ชัดว่า คำว่า มอง นั้นช่วยทำให้จังหวะนั้นเชื่องช้า เพราะมีการหยุดหลังจากพูดคำว่ามอง เป็นการยืดจังหวะเพื่อที่จะเสริมสร้างอารมณ์ให้แก่ผู้อ่าน
การซ่ำคำเช่น ‘คิดถึงบ้าน’ ช่วยทำให้ผู้อ่านนั้นต้องคอยกลับไปนึกถึง theme ของกลอนอยู่เรื่อย ในกลอนนี้มีการใช้ สัมผัสพยัญชนะ สัมผัสสระ สัมผัสในและสัมผัสนอกทำให้กลอนนั้นมีจังหวะที่ลื่นไหลและคล่องคอ




คำมั่นสัญญา โดย ธงไชย แมคอินไตย



ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร
ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมปทุมทอง
แม้เป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง
ขอติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

วิเคราะห์
ชื่อของกลอน ‘คำมั่นสัญญา’ นั้นบงบอกให้รู้เป็นอย่างแรกเลยว่าเป็นกลอนรัก กลอนนี้เนื้อหานั้นแรกเริ่มถ้าผู้ฟังไม่สังเกตนั้นจะไม่เข้าใจความหมายแฝงของกลอนนี้ที่ ที่มีความทะลึงลามกอยู่ไม่น้อยเลยที่เดียว Form ของกลอนนี้จะเป็นการเปรียบเทียบตนเองการสรรพสิ่งหลายๆอย่างเช่น
‘เป็นราชสีห์สมสู่เป็นคู่สอง'
โดยที่กวีนั้นได้ใช้คำเช่น ถึง หรือ แม้ ในทุกๆประโยค ซึ่งเป็นเหมือนการเริ่มประโยค และช่วยให้มีการเปรียบเทียบการยกตัวอย่างเช่น
‘แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา’
ทางค้าน Imagery กวีนั้นได้ใช้กลวิธีหลายๆอย่างเช่น อุปมาอุปไมย (simile/metaphor) และ hyperbole เพราะว่าการเปรียบแต่ละอย่างในกลอนนี้นั้นเกินจริงหมดเลย ทำให้เกิดภาพในจินตนการได้ดีขึ้นเวลาฟังหลอนนี้
Mood/Tone ของกลอนนี้ถึงแม้จะดูสดใสและน่ารักเพราะมีความหมายว่าผู้ชายคนนี้รักผู้หญิงคนหนึ้งมาก จนอยากจะไปเกิดเดียงข้างกันตลอกชั่วกาล แต่ทว่ากวีนั้นได้แฝงอารมณ์ของความ ทะลึง ลามกเอาไว้ ทำนองเนื้อหานั้น เป็นtone ที่ฟังแล้วดูนุ่มนวล เรียบง่าย ทำให้เข้าถึงอารมณ์ของกลอนดีขึ้นและช่วยเสริมสร้างภาพในจินตนการได้นุ่มนวลขึ้น
สำหรับ Diction กวีได้ใช้การแฝงนัยยะหรือใช้คำเพื่อสื่อความหมายอืนเพื่อเป็น สัญลักษณ์ที่มีความหมายนัยยะแอบแฝงที่ ทะลึง และ ลามก
โดยสรุปแล้ว กลอนนี้ส่วนมากเป็น Ambiguity เพราะมีเนื้อหาที่มึนงง และแฝงโดยความหมาย ทำให้ผูฟังนั้นอยากที่จะเสาะหาและแปรดวามหมายที่แท้จริงของกลอนนี้


วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

เพลง เสียเจ้า

๑. เสียเจ้าราวร้าวมณีรุ้ง
มุ่งปรารถนาอะไรในหล้า
มิหวังกระทั่งฟากฟ้า
ซบหน้าติดดินกินทราย ๚
๒. จะเจ็บจำไปถึงปรโลก
ฤารอยโศกรู้ร้างจางหาย
จะเกิดกี่ฟ้ามาตรมตาย
อย่าหมายว่าจะให้หัวใจ ๚
๓. ถ้าเจ้าอุบัติบนสวรรค์
ข้าขอลงโลกันตร์หม่นไหม้
สูเป็นไฟเราเป็นไม้
ให้ทำลายสิ้นถึงวิญญาณ ๚
๔. แม้แต่ธุลีมิอาลัย
ลืมเจ้าไซร้ชั่วกัลปาวสาน
ถ้าชาติไหนเกิดไปพบพาน
จะทรมานควักทิ้งทั้งแก้วตา ๚
๕. ตายไปอยู่ใต้รอยเท้า
ให้เจ้าเหยียบเล่นเหมือนเส้นหญ้า
เพื่อจดจำพิษช้ำนานา
ไปชั่วฟ้าชั่วดินสิ้นเอย ๚

วิเคราะห์
ชื่อของกลอนนี้ ‘เสียเจ้า’ ฟังดูเหมือนว่าจะพูดโดยเพศผู้ชาย เพราะว่า คำว่าเจ้านั้น เป็นคำที่ผู้ชายสมัยก่อนเรียกผู้หญิง คำพูดนี้จึงไม่น่าที่จะใช้กับผู้ชายโดยผู้หญิง เนื้อหาของกลอนนี้เกี่ยวกับความรักและความแค้นของผู้ชายคนหนึ่งที่มีให้กับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จะติดตามกันไปทุกๆชาติ ผู้ชายคนนี้เป็นคู่รักเก่าของผู้หญิงคนนี้ โดยในเนื้อหาจะบงบอกได้ว่า ถึงแม้เขาจะรัก แต่เขาก็เกลียด
ในบทกลอนนี้ได้มีการใช้กลวิธีเช่น การใช้ Contrast ของคำบรรยาย เช่นการใช้คำที่มีน้ำหนัก เช่นคำที่สื่อถึง ความตายและ การใช้คำที่ดุดันและรุนแรง ยกตัวอย่างเช่นอุบัติ ซึ่งสือถึงความรักและความแค้น ซึ่งเป็นการเลือกใช้ภาษาที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกและจินตการได้
ทางด้านการจัดเรียงเนื้อเรื่อง หรือ Form นักกวีเปิดเรื่องโดยการเราเรื่องเกี่ยวกับการสูญเสีย จากนั้นจึงบรรยายและพรรณา เกี่ยวกับว่าเขาจะคอยติดตามผูหญิงคนนั้นไปตลอกการไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม
Mood/Tone ของเรื่องนี้นั้นฟังแล้วแลดูดุดัน น่ากลัวและรุนแรง ซึ่งอารมณ์นั้นถูกเสริมสร้างด้วยการเลือกใช้คำหรือ diction ที่มันหนักแน่นและเป็นคำที่มีดวามหมายที่รุนแรง และใช้คำที่เกินจริง (hyperbole) และ คำที่ตรงกันข้าม (Contrast) เพื่อที่จ้เสริมสร้างให้เป็นจินตภาพในจินตนการ

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

ขาหมู โดย Tattoo Colour




เกลียดละคร แต่ก็ดูมันทุกตอน
เกลียดคนใจร้อน แต่ก็ชอบมวย
เกลียดคนรวยนัก ชอบดูถูกฉัน แต่เมื่อคืนพึ่งฝันว่าถูกหวย
เกลียดใครจะได้เจอมันทุกวัน
เกลียดคนผิดนัด แต่ฉันก็เคย
เกลียดจังตอนแฮ้ง ปวดหัวตอนเช้า ตกเย็นกินเกล้าไม่หยุดเลย
*
ชีวิตคนสับสนวุ่ยวาย
เพราะหัวใจมันคล้ายมีบางอย่าง
ถึงฉันเกลียดแต่ฉันก็ต้องการ ไม่ว่าใครๆ
**
เกลียดความรักที่ทำให้เราต้องเสียใจ
แต่ยังค้น ยังคอยจะหามันเรื่อยไป
เจ็บไม่จำ ทั้งๆที่รู้ สุดท้ายที่รออยู่คืออะไร โอ โว้ โอว
เกลียดความรักที่ทำให้เราต้องร้องไห้
แต่ยามเหงาถ้าไม่มีเขาก็ไม่ได้
อยู่คนเดียวมันยังไม่พอ ต้องขอใครสักคน
เข้ามาทำให้ใจเจ็บช้ำ ไม่เข้าใจ
เกลียดการพนันแต่ก็เคยเป็นเจ้ามือ
รำคาญมือถือ แต่ฉันก็มี
เกลียดจังความอ้วน ใครๆก็รู้ แต่ยังสั่งขาหมูกินอยู่ดี
เกลียดการมองคนที่หน้าตา แต่พอเจอดาราขอลายเซ็น
เกลียดคนยั้วเยี้ย อึดอัดทุกครั้ง แต่พออยู่ในผับฉันก็ต้องเต้น

ชื่อเพลง ‘ขาหมู’ เป็น Ambiguity เป็นชื่อเพลงที่ไม่ค่อยได้เห็นกันมากนัก เป็นจุดเด่นและจุดสนใจแรกที่ผู้อ่านสังเกตซึ่งทำให้ผู้คนอยากที่จะลองฟังและอยากรู้อยากเห็นตามนิสัยของคนไทยที่ชอบสอดรู้สอดเห็น
ส่วนของการเลือกใช้คำ(Diction) เพลงนี้เป็นเพลงที่ผู้แต่งใช้คำซ้ำได้อย่างดี ในการเปรียบเทียบสิ่งต่างๆว่าถึงจะเกลียดแต่ก็ยังชอบก็ยังทำอยู่ ในเพลงกล่าวถึงการเกลียดหลายๆอย่างเช่น การพนัน มือถือ ละคร คนใจร้อน แต่แล้วก็กลับต้องเป็นเองหรือชอบสิ่งนั่นซะเอง ซึ่งกลวิธีที่ผู้แต่งได้ใช้ก็คือPARADOXเพื่อที่จะให้ความรืนไหล เป็นการเปรัยบเทียบที่สม่ำเสมอเสริมสร้างจังหวะกระชั้นให้มีอารมณ์ สนุกสนาน ตื่นเต้น แต่ระหว่างนั้นก็ยังมีเนื้อหาที่ขัดแย้งทำให้เพลงนี้ทำให้ผู้ฟังนั้นมีความตั้งใจในการฟังการเปรียบเทียบของหลายๆอย่างในเพลงนี้
ผู้แต่งเกริ่นทั้งหมดนี้เพื่อ เข้าสู่เกลียดความรัก ที่ทำให้เราต้องเสียใจ แต่เราก็ขาดไม่ได้ เพราะอะไรไม่ทราบแต่ก็ยังจะค้นหาความรักนั้นต่อไป อารมณ์ของเพลงสื่อออกมาทำให้ดูสนุกสนาน สื่อถึงทัศนคติของผู้แต่งอยากจะค้นหาความรักแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องเจ็บช้ำก็ตาม
มีการใช้อุปมาอุปมัย(simile/metaphor) เพื่อเพิ่มความขัดแย้งในเพลง ทำให้เพลงฟังแล้วน่าสนใจ มีการใช้จังหวะเพลงที่สนุกสนาน มีการใช้สัมผัสสระ (Assonance) เช่น มือ-ถือ, ตา-ดารา เป็นต้นและที่เด่นที่สุดคือ การซ้ำคือว่า”เกลียด” เกือบทุกประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำนี้เพื่อที่จะนำเสนอภาพพจน์ต่างๆ และช่วยเน้นการเปรียบเทียบของสองสิ่งในประโยค และในเพลงนี้เป็นการเปรียบเทียบที่แปลกใหม่สามารถนำ และเสริมสร้างจังหวะซ่ำๆ ให้กระชันด้วยการเน้นคำว่า ‘เกลียด’ให้หนักแน่นทำให้ผู้อ่านรู้ว่าประโยคนั้นจบและประโยคต่อไปจะเริ่ม ทำให้ผู้ฟังไม่งงกับเนื้อหา เพราะจังหวะร้องของนักร้องนั้นเร็วอยู่แล้วจึงต้องพยายามทำให้ความสนใจของผูอ่านนั้นคงที่กับเพลง
ชื่ออาหารมาใส่ในเพลงได้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่ผู้แต่งตั้งใจส่งผ่านเนื้อเพลงออกมา


ทำไมต้องรักเธอ เอิ้น พิยะดา Feat. คริส หอวัง อุ๋ย Buddha Bless


คริส : บอกดาว ในทุกค่ำคืน ว่าขอให้ตื่นแล้วพบผู้ชายในฝันคนที่คล้ายๆกัน แค่จ้องตากัน ก็รู้ว่าต้องการอะไรแต่เธอไม่เหมือนสักอย่าง ดูเหมือนตรงข้าม ยิ่งมองก็ยิ่งเหนื่อยใจยิ่งต่างกันมากเท่าไร ยิ่งหนีเท่าไร ยิ่งรักเธอ ทำไมต้องรักเธอ
คริส : คนที่ไม่เคยเจอในความฝันแต่ในชีวิตจริงแค่เดินด้วยกัน แค่นั้นก็อุ่นใจ ไม่เคยคิดรักเธออาจเป็นเพราะฉันนั้นใช้หัวใจ ตอบเหตุผลที่ไม่มีใครค้นเจอ
อุ๋ย : นะ นะ นะ .. นอนเฝ้า นอนฝัน มันอยู่ทุกค่ำคืน ว่าขอให้ตื่นและพบกับนางในฝันแบบที่เซ็กซี่เหลือเกิน เอาแบบที่มองแล้วเพลิน ทำท่าเขินเมื่อเราสบตาแต่เธอคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า เธอทำเอาฉันแทบบ้า ไม่เคยยอมไม่ว่าเรื่องอะไรยิ่งต่างกันมากเท่าไร แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทำไม ฉันถึงหลงรักเธอทำไม ทำไม ฉันถึงหลงรักเธอ
คริส : คนที่ไม่เคยเจอในความฝันแต่ในชีวิตจริงแค่เดินด้วยกัน แค่นั้นก็อุ่นใจ ไม่เคยคิดรักเธออาจเป็นเพราะฉันนั้นใช้หัวใจ ตอบเหตุผลที่ไม่มีใครค้นเจอ
คริส : หรือ นี่คือชะตาที่ฟ้าสั่งมา ให้เราต้องรักกันแม้ เธอไม่ใช่คนในฝัน แต่ในใจฉัน ก็มีแต่เธอ
ทำไมต้องรักเธอ …
อุ๋ย : ไม่เคยแม้แต่จะคิดและเราก็ไม่เคยฝันว่าเธอกับฉันนั้นต้องมาเดินด้วยกัน มันเป็นแบบนั้นได้ยังไงไม่เคยสักนิดที่คิดจะรักเธอ แต่คงเป็นเพราะฉันนั้นเชื่อหัวใจตอบเหตุผลที่ไม่มีใครค้นเจอ ทำไมต้องรักเธอคริส : คนที่ไม่เคยเจอในความฝันแต่ในชีวิตจริงแค่เดินด้วยกัน แค่นั้นก็อุ่นใจ ไม่เคยคิดรักเธออาจเป็นเพราะฉันนั้นใช้หัวใจ ตอบเหตุผลที่ไม่มีใครค้นเจอ
ทำไมต้องรักเธอ …

วิเคราะห์เพลง
เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายน่ารัก โดยผ่านเสียงร้องของทั้งชายและหญิง ที่ให้เพลงออกมาดูน่าสนใจและน่าฟัง ทำให้ภาพที่ออกมาดูเป็นสีชมพู ซึ่งเกี่ยวกับความรัก ที่มักไม่เป็นอย่างที่เราวาดฝัน แต่ในความเป็นจริงแล้วเราก็สามารถมีความสุขกับคนที่ไม่ใช่คนในฝัน แต่มีอยู่จริงได้ แค่เป็นคนที่เข้าใจกัน เดินไปพร้อมๆกันเพียงแค่ใช้ใจรักกันก็พอ ผู้แต่งต้องการสื่อความรักในรูปแบบที่คนส่วนใหญ่เป็นมีกัน คือเป็นความรักที่บริสทุธิ์รักกันด้วยหัวใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ดีพร้อม คนที่มองตากันแล้วเข้าใจ เลยเกิดการตั้งคำถามขึ้นมาทำไมต้องรักเธอ ทั้งๆที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ แต่แล้วก็ค้นพบคำตอบว่าเพียงแค่หัวใจตอบเหตุผลนี้ก็จะเข้าใจ ตอบเหตุผลที่ต้องค้นหาเองเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครค้นเจอ เพราะความรักเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนต้องการความเข้าใจ ไม่ใช้เพียงแค่ภายนอก
ชื้อเพลงนี้ ‘ทำไมต้องรักเธอ’ แนะนำเพลงเกี่ยวกับเนื้อหาที่ในเพลงนี้ที่ ผู้หญิงกับผู้ชาย สงสัยว่าทำไมสองคนจึงมารักกันได้ทั้งๆที่ไม่เคย คิดหรือฝันมาก่อนส่วนหนึ่งก็เป็น ambiguity เพราะว่า แทนที่จะเสาะหาความรัก แต่ทำไมต้องมาสงสัยว่าคนสองคนทำไมต้องรักกัน ทำให้เพลงนั้นแลดูน่าสนใจและติดตาม ทำให้คนอยากรู้ถึงเนื้อหาว่าจะเป็นอย่างไร ตรงกันชื่อเพลงหรือไม่
การสื่ออารมณ์ (Mood/Tone) ของผู้ร้องนั้นสดใส แต่ก็ยังมีเนื้อหาคำที่ใช้ (Diction) ที่ทำให้มึนงง อย่างเช่นประโยค “ทำไมต้องรักเธอ” ทั้งๆที่ทำนองนั้นน่ารักสดใส ซึ่งนี้เป็นความน่าสนใจของเพลงนี้ที่ทำให้ผู้คนติดตามอยากฟัง
เพลงนี้ทำให้ภาพของความรักดูสวยงาม บ่งบอกถึงทัศนคติของผู้แต่งที่มองความรักในแง่ดี มีการใช้จังหวะทำนอง (Rhythm) ที่น่าฟัง ฟังสบายๆ มีการใช้ท่อนแร๊พทำให้เพลงดูน่ารักและมีการใช้ลูกเล่น อีกทั้งยังมีการใช้สัมผัสสระ (assonance) เช่น ฝัน-กัน, ใจ-ใคร เป็นต้น

พิษสตรีเรื้อรัง โดย เปอร์ (Final Score)



ก็เพิ่งรู้ ว่าผู้หญิงคือของเสพติด
ถ้าไม่มีแล้วมันหงุดหงิด ผมติดผู้หญิง
*ความอ่อนหวาน มันหาจากใครไม่ได้จริงๆ
มันเหมือนผู้หญิงมีบางสิ่ง ที่ขาดไม่ได้เลยจริงๆ ต้องลงแดง

** ถ้าไม่มีผู้หญิง คงต้องกลิ้งลงไปกองอย่างกับหมา
คล้ายๆพิษสุรา แต่โรคนั้นคงรักษาได้ซักทาง
โรคนี้มันไม่หาย และดูคล้ายจะยืดเยื้อ คือโรคพิษสตรีเรื้อรัง
บางทีหัวเราะเสียงดังๆ บางทีก็ร้องนอนครวญคราง
เอาสักทางได้ไหม

ในบางครั้ง ฉันยังเคยคิดเลิกเด็ดขาด
อยากเจอผู้หญิงแล้วขยาด แต่เจอผู้หญิงเดินเกลื่อนกลาด
ก็ยังมอง
ซ้ำ * **


วิเคราะห์เพลง
ชื้อเพลง ‘พิษสตรีเรื้อรัง’ นั้นเป็นambiguityเพราะว่าคำนี้นั้นรวมๆแล้วไม่มีความหมายที่สมเหตุสมผล มันกำกวม ไม่ตรงไปตรงมาแบบทื่อๆเพื่อรอให้ผู้อ่านเข้าไปค้นหาความหมายแต่ทว่าถ้าเราแตกคำออกมาจะเข้าใจความหมาย พิษ-สตรี-เรื้อ-รัง ซึ่งมีความหมายว่า ผู้หญิงนั้นเป็นพิษ และเรื้อรัง ซึ่งชื้อเป็นเนื้อหาของกลอนโดยรวม
Mood/Tone ของเพลงนี้แต่งต้องการสื่อออกมาในแนวน่ารัก ตลกแบบกวนๆ โดยใช้เสียงนักร้องที่เสียงมึนๆเมาๆให้เหมื่อนกับการเป็นโรคหรื่อการติดยาเสพติด เพื่อให้เข้าถึงเนื้อเพลงและชื่อเพลง “พิษสตรีเรื้อรัง”เป็นการเล่นคำ เหมือนกันผู้หญิงเป็นของเสพติด เสพมากและติดต่อกันนานทำให้เกิดอาการเรื้อรัง
ผู้แต่งสื่อโดย กล่าวถึงอารมณ์ของวัยรุ่นชายที่ติดผู้หญิง คิดว่าผู้หญิงเป็นของเสพติด ขาดไม่ได้เพราะมีความอ่อนหวานที่ไม่เหมือนใคร ถ้าขาดไปแล้วต้องมีอาการเหมือนขาดสารเสพติด แล้วพูดติดตลกว่า ถ้าไม่มีผู้หญิง คงต้องลงไปกลิ้งไปกองอย่างกับหมา และสื่อว่าโรคพิษสุราสามารถรักษาหายได้แต่โรคพิษสตรีเรื้องรัง ที่ทำอย่างไรก็ไม่หาย อาการแปรปรวน ท้ายเพลงก็ปิดว่าบางครั้งก็เคยคิดเลิกแต่ก็เลิกไม่ได้ซักที
เพลงนี้เป็นเพลงที่แปลกแหวกแนว เป็นการสื่อถึงความรักในอีกแง่มุมนึงที่ต่างออกไป เหมือนกับความรักเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง ทำให้ผู้ชายต้องติดอยู่ด้วยโรคนี้
มีการใช้อุปมาอุปมัย (simile/metaphor) สัมผัสสระ เช่น ขาด-ขยาด, หงิด-ติด เป็นต้นเพื่อที่จะวาดรูปในจิตของผู้ฟังเสมื่อนวาดรูป เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ นอกจากนี้ยังมีการซ้ำท่อนฮุก เพื่อเน้นย้ำถึงโรคนี้ จังหวะเพลงออกแนวน่ารักสดใส ฟังแล้วรู้สึกสบายๆ


เวลาที่หายไป โดย 1011


เช้าทีไรอยากหลับตาไม่ต้องการตื่นขึ้นมา
เจอใครได้ไหม คิดอะไรไม่ไหว
ได้แต่คิดถึงเธอ ฝืนหายใจแต่ละครั้ง
เหมือนมันยังเจ็บตรงนี้ ที่เดิมซ้ำๆ
แล้วมันเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ที่เธอหายไป

*เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวาน
และยังไม่รู้สุดท้ายจะไปสิ้นสุดที่ไหน
ที่ได้พบเธออีกครั้ง ก็ยังไม่รู้เลย

ไม่รู้เธอว่ายังรออยู่ไหม
รู้แค่เพียงว่าใจยังรอแต่เธอตรงนี้
แม้เวลาในความเป็นจริง จะผ่านเป็นปี
แต่ใจมันหยุดที่เดิม
เมื่อเธอคือวันเวลาที่หาย
และอะไรๆ มันดูว่างเปล่าเหลือเกิน
กลับมาได้ไหม กลับมาได้ไหม
กลับมาเป็นลมหายใจ ให้กับฉัน

ถ้าได้เจอเธออีกครั้ง
รู้ไว้เลยจะไม่ยอมให้เธอนั้นหาย
ทุกนาทีที่เหลือจะบอกว่าฉันรักเธอ

ซ้ำ*

วิเคราะห์เพลง
ชื้อเพลง ‘เวลาที่หายไป’ เป็นนัยยะเกี่ยวกับเนื้อเพลงที่ทำให้รู้ว่าเพลงนี้ต้องมีท่วงทำนองที่โศกเศร้า เพลงนี้เป็นเพลงที่ให้ความรู้สึกเศร้าอาลัยอาวรผ่านเสียงร้องที่นุ่มและเศร้าสร้อย ของชายคนหนึ่งที่ยังคงรักและคิดถึงหญิงสาวที่ตนรักตลอดมา เหมือนกันเวลาหยุดลงไปในวันเวลาที่หญิงสาวลาจาก ผู้แต่งสื่อออกมาให้เห็นถึงความรู้สึกของชายคนหนึ่ง กล่าวถึงความทรมานในการใช้ชีวิตแต่ละวันที่ไม่มีคนรัก ตั้งแต่วันที่คนรักทิ้งไป ยังคงรู้สึกเจ็บลึกที่เดิมทุกวันๆ เวลาที่หญิงสาวจากไปเหมือนกันเวลาที่ขาดหายไปในชีวิตเขา ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูว่างเปล่า ยังรอคอยและเรียกร้องให้หญิงสาวกลับมา กลับมาเป็นชีวิต เป็นลมหายใจ ให้แก่ตน
ซึ่งเป็นการใช้อติพจน์ และอุปมาอุปมัย (simile/metaphor) ทำให้ดูเกินจริงซึ่งสามารถช่วยสร้างภาพให้เกิดจินตภาพกับผู้อ่านในการเปรียบเทียบว่าหญิงสาวเหมือนเวลาที่ขาดหายไปในชีวิตของเขา อีกทั้งยังกล่าวอีกว่า ถ้าได้เจอหญิงสาวอีกครั้ง จะไม่ปล่อยให้เธอหายไปอีก จะใช้ทุกวินาทีบอกรักเธอ ซึ่งทำให้เพลงนี้เป็นเพลงลึกซึ้งกินใจ
มีการใช้ท่อนซ้ำเพื่อย้ำว่าอยากให้เธอกลับมา จังหวะเพลงช้าบ่งบอกถึงอารมณ์เศร้า เนื้อเรื่องที่เรียบเรียงเป็นการเล่าเรื่องราวว่าผู้แต่งมีความรู้สึกอย่างไร อยากที่จะเล่าเรื่องราวในใจผ่านเพลงนี้

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ โดย Scrubb














ดาวนับล้านที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า

จะมีไหมหนาที่ลอยอยู่เองเฉยๆ

ไม่ยอมโคจรหมุนไปไหนเลย

ไม่เคย ไม่เห็นเลยสักดวง

ดาวของฉันเธอว่าห่างไกลลิบๆ

แต่ดาวไหนๆมันก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น

ดาวของเธอฉันว่าก็เหมือนกัน

กี่ปีแสงนั้นอย่านับเลย

*เมื่อดาวโคจรมาเจอะกัน

ฤดูก็เปลี่ยนผัน การหมุนก็ผันแปร

เมื่อเธอกับฉันมาเจอะกันชีวิตก็เปลี่ยนผัน

เปลี่ยนไปจากเดิม เปลี่ยนจังหวะหมุนของหัวใจ(ให้ใกล้กัน)

**(เกิดอาการ)เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ

แต่สองดาวก็ยังหมุนรอบตัวเอง

เธอดึงดูดฉัน ฉันดึงดูดเธอ

และสองดาวยังเปล่งแสงอันงดงามให้แก่กัน(ไปทั่วฟ้า)

ดาวนับแสนที่มีวงแหวนนับร้อย

ทั้งดาวเคราะห์น้อย ดาวฤกษ์ลอยคว้างๆ

ดาวทุกดวงนั้นย่อมจะแตกต่าง

มีเส้นทางหมุนของตัวเอง





วิเคราะห์เพลง
ชื้อเพลง ‘เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ’ บอกตรงๆเกี่ยวกับเนื้อหาของเพลงนี้ ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่บ่งบอกถึงความรักที่สวยงาม เกิดจากคนสองคนได้มาเจอกันท่ามกลางคนนับล้าน แม้ว่าแต่ละคนจะมีความแตกต่าง มีเส้นทางที่ต่างกันไป แต่มีแรงดึงดูดเข้าหากัน จนทำให้เกิคความรักขึ้น เป็นความรู้สึกที่ผู้แต่งอยากจะถ่ายทอดเริ่มต้นเพลงด้วยการกล่าวถึงดวงดาวนับล้านที่อยู่บนท้องฟ้าที่ล้วนแล้วแต่โคจรไปมาอยู่เสมอ แล้วเมื่อดาวโคจรมาเจอกัน ฤดูต่างๆก็แปรผัน เปรียบเทียบคนสองคนเป็นเหมือนดาวสองดวงที่อยู่ห่างไกลกัน แต่ก็สามารถโคจรมาเจอกัน ชีวิตของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป เกิดเป็นความรักขึ้น แล้วดวงดาวทั้งสองก็โคจรหมุนรอบกัน ดึงดูดกัน และเปล่งแสงไปทั่วฟ้า เหมือนกับคนสองคนส่งผ่านความรักให้แก่กัน และผู้แต่งยังกล่าวอีกว่าดาวทุกดวงบนฟ้านั้นย่อมจะแตกต่าง ก็เหมือนกันคนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างและมีเส้นทางเป็นของตัวเอง
การใช้คำ(Diction) ของเพลงนี้นั้นเหมื่อนจะเป็นภาษาที่ไม่เหมาะสมที่จะเป็นเนื้อเพลงแต่ทว่าถ้าจับใจความได้ก็จะเข้าใจถึงความหมายที่แท้จริงผ่านทางาษาที่อาจจะดูแปลก เช่นคำว่า ‘โคจร-ดาวโดจร)
Mood/tone และจังหวะของเพลงนี้ถูกเสริมสร้างด้วยภาษาที่ทำให้ดูแปลกๆแต่ทว่าก็มีเนื้อทำนองเพลงที่สนุกสนานและมีส่วนประสม ของความสนุกสนานและน่ารัก เป็นแนวที่ฟังแล้วจะติดหู เพราะมีทำนองที่ไพเราะ
ในเพลงนี้ใช้การอุปมา อุปมัย (simile/metaphor) ในการเปรียบเทียบคนเหมือนกับดวงดาวที่มีอยู่มากมาย การเกิดความรักต่อกันเป็นแรงดึงดูดที่ดาวกระทำต่อกัน และบุคลธิษฐานการเปรียบเทียบตัวเองเป็นดวงดาวที่โคจรไปมา และยังมีการใช้คำคล้องจอง สัมผัสสระเช่น คำว่า”กัน-ผัน ร้อย-น้อย ฟ้า-หนา” และอีกมากมาย ทั้งหมดนี้ทำให้เพลงนี้เป็นเพลงที่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกของความรักออกมาได้อย่างน่ารัก ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะเสริมสร้างภาพ และสร้างจินตภาพในจินตนการ